เห็นปั๊บก็รู้ชัดเลยว่าที่ไหน ชม 7 อาคารที่โด่งดังจนกลายเป็นแลนด์มาร์กสำคัญของเมือง
สิ่งก่อสร้างและงานสถาปัตยกรรมอยู่คู่กับสังคมมนุษย์มายาวนาน ซึ่งไม่ว่าจะสร้างขึ้นเพื่อประโยชน์ใช้สอยใด ๆ ก็ตาม สิ่งปลูกสร้างเหล่านั้นก็มักจะมีรูปแบบที่แสดงถึงเอกลักษณ์ของสังคมและช่วงเวลานั้น ๆ ได้อย่างชัดเจนอีกด้วย
วันนี้เราจึงหยิบยกเอา 7 อาคารที่โด่งดังระดับโลก รวมถึงจุดประสงค์ของการสร้างและการใช้งานในปัจจุบันมาแนะนำให้รู้จักกัน
หอไอเฟล (Eiffel Tower) – ปารีส ฝรั่งเศส
หอคอยเหล็กที่ใครเห็นปุ๊บก็รู้ได้ทันทีว่าตั้งอยู่ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศสนี้ ใครจะไปคิดว่าเคยเป็นสิ่งที่ชาวปารีเซียงมองว่าน่ารังเกียจอย่างมาก เพราะถ้าย้อนกลับไปเกือบ 150 ปีที่แล้ว ท่ามกลางบ้านเมืองสไตล์ยุโรปสวยงามกลับต้องมีเสาเหล็กสูง หน้าตากระด้าง ๆ ทะมึน ๆ มาตั้งเก้งก้างอยู่กลางเมือง เหยียบย่ำความงามของงานสถาปัตย์อื่น และทำลายความเป็นเมืองศิลปะของปารีสลงอย่างสิ้นเชิง
ก็แน่ล่ะ เพราะหอไอเฟลสูงตระหง่านเทียบเท่าตึกตั้ง 81 ชั้น ครองตำแหน่งสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดในโลก ณ เวลานั้น จะถูกนำมาใช้เป็นแค่สัญลักษณ์ของงานจัดแสดงสินค้าโลกเพียงงานเดียวในปี 1889 และเหตุผลที่ต้องสร้างยิ่งใหญ่อลังการก็เนื่องมาจากต้องการจะอวดความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยี วิทยาศาสตร์ และความสวยทางศิลปะสถาปัตยกรรมให้แก่แขกที่เดินทางมาจากทั่วโลก ซึ่งดูเหมือนจะสำเร็จเพราะผู้ที่มาร่วมงานก็ต่างชื่นชมหอไอเฟลกันถ้วนหน้า
ส่วนชาวบ้านปารีเซียงเองก็ค่อย ๆ เปลี่ยนความคิดหันมาชื่นชมหอไอเฟลกันอย่างช้า ๆ จากที่มีกระแสเรียกร้องและกดดันให้รื้อโครงสร้างนี้ออกในปี 1909 อยู่ดี ๆ ในปี 2006 ชื่อของ “หอไอเฟล” ก็ได้กลายมาเป็นสัญลักษณ์ของกรุงปารีสและดึงดูดนักท่องเที่ยวหลายล้านคนให้มาถ่ายรูปที่นี่ในแต่ละปี
ส่วนในด้านประโยชน์ใช้สอยนั้น นอกจากที่จะเป็นแหล่งท่องเที่ยว มีร้านขายของที่ระลึก ซุ้มนิทรรศการ ร้านอาหาร และจุดชมวิวแล้ว หอไอเฟลยังเคยทำหน้าที่เป็นจุดสังเกตการณ์ทางอุตุนิยมวิทยาและดาราศาสตร์ รวมไปถึงการทดลองฟิสิกส์ ทั้งยังมีการตั้งศูนย์วิทยุขึ้น และยังคงใช้มาถึงปัจจุบันด้วย
Filip Andrejevic / Unsplash
ตึกแฝดปิโตรนาส (Petronas Twin Towers) – กัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย
ถ้าจะพูดถึงแลนด์มาร์กสำคัญของประเทศมาเลเซียก็คงหนีไม่พ้นตึกแฝดสูง 88 ชั้นที่ตั้งอยู่ใจกลางกรุงกัวลาลัมเปอร์นี้ ตึกแฝดปิโตรนาสถูกออกแบบผ่านแรงบันดาลใจจากเสาหินทั้งห้าของศาสนาอิสลาม ทั้งสองตึกเชื่อมต่อกันด้วยสะพานลอยฟ้าที่ชั้น 41 และ 42 มีหน้าตาภายนอกที่ถูกตกแต่งเป็นลวดลายคล้ายดาวแปดแฉกด้วยแผ่นสเตนเลส 33,000 แผ่น และกระจกอีก 55,000 แผ่น สะท้อนแสงเปล่งประกายทั้งกลางวัน และจากไฟตกแต่งในยามค่ำคืน ซึ่งทำให้อาคารเหล็กแห่งนี้กลับดูไม่แข็งกระด้าง และกลมกลืนไปกับเมืองได้อย่างน่าอัศจรรย์
อาคารนี้ถูกใช้เป็นอาคารสำนักงานและเป็นที่ตั้งของบริษัทพลังงานและน้ำมันระดับชาติอย่างบริษัท ปิโตรนาส จำกัด รวมถึงมีศูนย์การค้าชื่อดังอย่าง Suria KLCC ที่มีทั้งร้านอาหารและแบรนด์สินค้าชื่อดังให้บริการอยู่ที่ชั้นล่าง ๆ ของอาคารด้วย
นอกจากนี้ ทั้งในและนอกอาคารยังประกอบไปด้วยศูนย์ประชุมแห่งชาติ (KLCC: Kuala Lumpur Convention Center) พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ (Aquaria KLCC) ศูนย์การเรียนรู้ทางวิทยาศาสตร์ ปิโตรเซนส์ (Petrosains The Discovery Centre) และสวนสาธารณะเคแอลซีซี (KLCC Park) ที่เป็นพื้นที่พักผ่อนหย่อนใจของชาวกัวลาลัมเปอร์ ตลอดจนมีสวนน้ำสำหรับกลุ่มผุ้เข้าชมที่เป็นเด็ก ๆ และครอบครัวอีกด้วย
Vlad Shapochnikov / Unsplash
มหาวิหารเซนต์บาซิล (St. Basil's Cathedral) – มอสโก รัสเซีย
หอคอยแปดเหลี่ยมที่มีหลังคาเป็นรูปหัวหอมสีสันสดใสแห่งนี้ถูกใช้เป็นสัญลักษณ์แทนประเทศรัสเซียมาอย่างยาวนาน ทั้งยังเป็นสถานที่ยอดนิยมอย่างมากในหมู่นักท่องเที่ยว ที่เมื่อมาถึงกรุงมอสโกแล้ว ก็ต้องแวะมาถ่ายรูปคู่กับมหาวิหารนี้สักครั้ง
ตามประวัติศาสตร์ ที่นี่คือมหาวิหารเซนต์เบซิล เป็นอาสนวิหารของศาสนจักรออร์โธดอกซ์รัสเซีย ตั้งอยู่ที่จัตุรัสแดง โดยมีรูปทรงที่ไม่เหมือนโบสถ์อื่น ๆ เพราะถูกออกแบบด้วยสถาปัตยกรรมผสมระหว่างรัสเซียโบราณที่เป็นโดมทรงหัวหอมกับสถาปัตยกรรมที่เรียกกันว่ารัสเซียนโกธิก ส่วนหอคอยสูงรูปกระโจมเป็นอิทธิพลจากยุโรปตะวันตก
มหาวิหารเซนต์บาซิลมีอายุกว่า 400 ปี ถูกสร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าอีวานที่ 4 เพื่อเฉลิมฉลองชัยชนะเหนือกองทัพของมองโกลที่เมืองคาซาน (Kazan) เดิมทีเป็นเพียงโบสถ์ขนาดเล็กที่บรรจุศพของนักบุญวาซิลีหรือนักบุญบาซิ แต่ในปัจจุบันสถานที่แห่งนี้ได้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ของรัสเซียที่เปิดให้นักท่องเที่ยวสามารถเข้าชมได้
Nikolay Vorobyev / Unsplash
โอเปร่าเฮาส์ (Opera House) – ซิดนีย์ ออสเตรเลีย
หลายคนน่าจะได้รู้จักกับโอเปร่าเฮาส์มาตั้งแต่สมัยเรียน สถานที่นี้เรียกได้ว่าเป็นหมุดหมายอันดับหนึ่งของนักท่องเที่ยวกว่า 8 ล้านคนต่อปีที่เดินทางมายังประเทศออสเตรเลียเลยทีเดียว (มากกว่าประชากรในซิดนีย์ซะอีก)
“ซิดนีย์โอเปราเฮาส์” เป็นโรงละครและสถานที่จัดแสดงอเนกประสงค์ ถูกสร้างขึ้นแทนที่โรงละครซิดนีย์ ทาวน์ ฮอลล์ ที่มีขนาดเล็กเกินไป หน้าตาอาคารดูคล้ายเปลือกหอยหรือเรือสมัยก่อนซ้อนทับกัน ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจในการออกแบบมาจากปีกนกและรูปทรงของก้อนเมฆ และได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกโลกในปี 2007
ด้านในของโอเปร่าเฮาส์ประกอบไปด้วยห้องต่าง ๆ ที่สวยงามและมีประโยชน์ใช้สอยที่แตกต่างกัน ซึ่งมีโรงแสดงคอนเสิร์ตความจุ 2,679 ที่นั่ง และมีไปป์ออร์แกนที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีโรงอุปรากรความจุ 1,547 ที่นั่ง และยังมีศูนย์วัฒนธรรมแห่งชาติประเทศออสเตรเลีย โรงละคร เพลย์เฮาส์ โรงภาพยนตร์ สตูดิโอสำหรับฝึกซ้อม ร้านอาหาร และบาร์อีกด้วย
Tyler / Unsplash
ตึกแฟลตไอออน (Flatiron Building) – นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา
ในสมัยแรก ตึกนี้ชื่อว่าตึกฟูลเลอร์ (Fuller Building) เป็นตึกสูงระฟ้าที่ตั้งอยู่บนถนนสายหลักในเมืองนิวยอร์ก ซึ่งมีความโดดเด่นด้วยหน้าตาของตึกที่ไม่เหมือนตึกอื่น ๆ ในระแวกนั้นเลย เพราะมันคืออาคารโครงสร้างเหล็กทรงสามเหลี่ยมคล้ายเตารีดโบราณด้วยรูปแบบสถาปัตยกรรมสไตล์ Beaux -Arts (โบซาร์) นีโอคลาสสิกหรือวิจิตรศิลป์ที่แพร่หลายจากกรุงปารีสมาสู่อเมริกา ตั้งอยู่บนจุดตัด 4 แยกระหว่างถนน 5th Ave. / Broadway ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสามารถด้านวิศวกรรม สถาปัตยกรรม และการออกแบบ จนเป็นที่มาของชื่อ “ตึกแฟลตไอออน” ในปัจจุบัน
ตึกแฟลตไอออนถูกขึ้นทะเบียนเป็นจุดสังเกตของเมืองในปี 1966 โดยเป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ของชาติในปี 1979 และได้ขึ้นทะเบียนเป็นแลนด์มาร์กของชาติในปี 1989 โดยเรามักจะเห็นได้ตึกนี้อยู่บ่อย ๆ ในภาพยนตร์ฮอลลีวูดจนทำให้คนทั่วไปนิยมเรียกเขตที่อยู่ติดกันนี้ว่า “เขตแฟลตไอออน”
จากเดิม อาคารนี้ได้รับการพัฒนาให้เป็นสำนักงานใหญ่ของบริษัทก่อสร้าง Fuller Company จนได้ขายอาคารนี้ไปในปี 1925 และมีการแบ่งกรรมสิทธ์ระหว่างบริษัทหลายแห่ง มีการบูรณะหลายต่อหลายครั้ง และในปัจจุบันก็ยังคงถูกใช้งานเป็นอาคารสำนักงานอยู่
Denys Nevozhai / Unsplash
หอเอนปิซา (Leaning Tower of Pisa) – ปิซา อิตาลี
ถ้าไม่นับเรื่องอาหารแล้ว เมื่อพูดถึงประเทศอิตาลีก็ต้องนึกถึง “หอเอนแห่งปิซา” ที่นี่่เป็นหอระฆังสูงใหญ่ 8 ชั้น สร้างด้วยหินอ่อนขาวของศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก โดดเด่นที่ความเอียงของหอระฆังที่ดูเหมือนจะล้มลงมาได้อยู่ตลอดเวลา โดยหอระฆังนั้นห่างจากแนวตั้งฉากของพื้นไปประมาณ 3.9 เมตรเลยทีเดียว และอาคารนี้ตั้งอยู่ที่จัตุรัส Piazza del Duomo เมืองปิซา แม้ในปัจจุบันเราอาจจะได้เห็นอาคารที่ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ในการก่อสร้างให้ออกมาดูเอนเอียงหรือแม้แต่ตีลังกาได้โดยที่ไม่พังลงมา แต่กับหอเอนปิซานั้นกลับถูกสร้างขึ้นมาให้เอนตั้งแต่แรกอย่างแท้จริง!
ย้อนไปในปี 1173 ที่การก่อสร้างหอนี้ได้เดินทางไปถึงชั้นที่ 3 ก็ได้มีการค้นพบว่าพื้นดินบริเวณนั้นโดยเฉพาะเพียงด้านหนึ่งของอาคารมีความนิ่มจนอาจทำให้เกิดแผ่นดินยุบตัวได้ จึงทำให้การก่อสร้างหยุดไปเกือบจะร้อยปีทีเดียว จนเมื่อกลับมาสร้างต่อ สถาปนิกจีโอแวนนี ดิ สิโมน ก็ได้จงใจสร้างให้หอนั้นเอนไปสวนทางกับด้านที่คาดว่าดินจะยุบและตึกจะล้ม รวมระยะเวลาที่ก่อสร้างทั้งสิ้น 177 ปี
แต่อดีตถึงปัจจุบัน มีความพยายามจะแก้ไขความเอนเอียงของหอระฆังนี้หลายต่อหลายครั้งนับตั้งแต่สร้างเสร็จ ตั้งแต่ปี 1934 ที่มีความพยายามแก้ไขด้วยการเทคอนกรีตเติมลงไปที่ฐาน แต่กลับทำให้หอนั้นเอนยิ่งไปกว่าเดิม รัฐบาลอิตาลีเองก็ได้ให้ผู้เชี่ยวชาญทั้งนักคณิตศาสตร์และวิศวกรมากมายมาช่วยคำนวณ ทั้งขุดดินออก ปรับสมดุล เอาเหล็กมาค้ำ จนสุดท้ายก็ประกาศว่า หอเอนนี้มีสมดุลเรียบร้อยในปี 2001
ปัจจุบันหอเอนปิซาเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมภายในและไต่หอคอยขึ้นไปถึงยอดได้เป็นรอบ ๆ รอบหนึ่งราว 30 คน โดยที่ภายในหอเอนจะมีลักษณะเป็นโถงโล่ง ๆ กลวง ๆ ล้อมด้วยบันไดวนขึ้นไป จะเป็นที่ยืนได้อีกทีก็คือที่ชั้นบนสุดที่จะมีระฆังขนาดใหญ่ และสามารถชมวิวดูสถาปัตยกรรมรอบ ๆ และเมืองปิซาได้โดยรอบ
Joe Planas / Unsplash
มารีนาเบย์แซนส์ (Marina Bay Sands) - สิงคโปร์
ใครที่มาเที่ยวสิงคโปร์ต้องเคยเห็นและจดจำตึกนี้ได้แน่นอน กับ “มารีน่าเบย์แซนด์” ตึกสามตึกเรียงกันที่เหมือนกับว่ามีเรือสำราญขนาดใหญ่จอดอยู่ด้านบน เป็นแลนด์มาร์กสำคัญที่ตั้งอยู่บริเวณอ่าวมารีน่า เรียกได้ว่าถ้ามาถ่ายรูปกับรูปปั้นเมอร์ไลออน (Merlion) แล้ว ก็ต้องมองเห็นตึกนี้ตั้งตระหง่านอยู่อย่างชัดเจน
มารีน่าเบย์แซนด์ถือเป็นอาคารที่มีมูลค่าในการก่อสร้างสูงที่สุดในโลก ด้วยงบประมาณ 8 พันล้านเหรียญสิงคโปร์ หรือเกือบสองแสนล้านบาท โดยเป็นอาคารที่เกิดขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจให้แก่สิงคโปร์ที่เคยย่ำแย่ในอดีต ด้วยการหารายได้เข้าประเทศจากการท่องเที่ยว โดยเปิดให้บริการในปี 2010 นั่นเอง
อาคารทั้งสามถูกออกแบบให้เหมือนสำรับไพ่ เพื่อสื่อถึงการเป็นศูนย์กลางคาสิโน ด้านบนสุดยังมีสระว่ายน้ำลอยฟ้า “อินฟินีตี้พูล” (Infinity Pool) ซึ่งเป็นสระว่ายน้ำที่ไร้ขอบสระและยาวที่สุดในโลก ตั้งอยู่เหนือพื้นดิน 191 เมตร
นอกจากรูปทรงที่ออกแบบมาได้เวอร์วังอลังการจะช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาถ่ายรูปหรือเดินทางมาเยือนที่นี่ดูสักครั้งแล้ว พื้นที่ด้านในของทั้งสามอาคารยังประกอบไปด้วยรีสอร์ตหรู โรงแรม ห้างสรรพสินค้า จุดชมวิว พิพิธภัณฑ์ โรงภาพยนตร์ และคาสิโนแบบเปิดโล่งที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งสามารถสร้างรายได้เข้าประเทศได้มากกว่า 85,500 ล้านบาทในปี 2022 อีกด้วย
Partha Narasimhan / Unsplash
ที่มา : เว็บไซต์ www.toureiffel.paris/en
เว็บไซต์ www.petronastwintowers.com
บทความ “St Basil’s cathedral” จาก https://bridgetomoscow.com
เว็บไซต์ www.sydneyoperahouse.com
บทความ “AD Classics: Flatiron Building / Daniel Burnham” โดย Andrew Kroll จาก www.archdaily.com
เว็บไซต์ www.towerofpisa.org
เว็บไซต์ www.marinabaysands.com
เรื่อง : ณฐมน ธนาตระกูล