เมื่อโลกร้อนเกินควบคุม...มองเผื่อ “เจนเบต้า” แล้วพวกหนูจะอยู่ยังไง
Technology & Innovation

เมื่อโลกร้อนเกินควบคุม...มองเผื่อ “เจนเบต้า” แล้วพวกหนูจะอยู่ยังไง

  • 02 Feb 2025
  • 65

ต้อนรับปี 2025 ที่นับว่าเป็นปีแรกของเด็ก “เจนเบต้า” (Gen Beta) ได้ถือกำเนิด กลุ่มคนรุ่นที่จะเติบโตขึ้นมาพร้อมกับมี AI เคียงข้างในชีวิต จะเป็นมนุษย์รุ่นแรกที่มีปัญญาประดิษฐ์เป็นเพื่อน และมีระบบใช้งานอัตโนมัติมากมายคอยอำนวยความสะดวกนับตั้งแต่ลืมตาตื่น ทั้งช่วยเหลือด้านการศึกษา สร้างความบันเทิง และดูแลสุขภาพตลอดชีวิตให้อย่างไร้รอยต่อในทุกมิติ 


อุณหภูมิโลกเฉลี่ยปี 1970-2030 เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยปี 1951-1980 (Futuretimeline.net)

1. AI ก้าวหน้า แต่ Gen Beta ต้องโตในสภาวะโลกร้อน
ในขณะที่วิทยาการก้าวกระโดดไปถึงขั้นที่เด็ก ๆ เจนเบต้าจะมีเพื่อนเป็นปัญญาประดิษฐ์ แต่ในด้านชีวภาพ มีแนวโน้มว่า พวกเขาจะต้องเผชิญกับสภาวะโลกร้อนรุนแรงอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน จากการคาดการณ์ปี 2030 ของ futuretimeline.net ระบุว่า ปัจจุบันอุณหภูมิของโลกสูงขึ้นเข้าใกล้ระดับ 1.3 องศาเซลเซียส ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของช่วงกลางศตวรรษที่ 20 และยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เอลนีโญครั้งต่อไปจะเกิดขึ้นด้วยผลจากการที่มนุษย์หยุดอุณหภูมิโลกไม่ให้สูงเกินเกณฑ์ 1.5 องศาเซลเซียส ตามข้อตกลงปารีสว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศไม่ได้ และภัยพิบัติจากคลื่นความร้อน ภัยแล้ง น้ำท่วม ไฟป่า พายุหมุนเขตร้อนที่เกิดทั่วโลกอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน จะทำให้มูลค่าทางเศรษฐกิจถดถอยลงกว่า 25% จากปี 2020 ดังนั้น สภาวะโลกร้อนในปี 2030 จะกลายเป็นสถานการณ์ฉุกเฉินที่ต้องเร่งรีบแก้ไข องค์กรเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมจะเร่งส่งแรงกระเพื่อมออกมา เพื่อให้มีเสียงที่ดังมากพอเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงในระดับโลกได้จริง

สัญญาณหนึ่งที่เห็นได้ว่า สภาวะโลกร้อนเริ่มส่งผลกระทบต่อการอยู่อาศัยของมนุษย์เกิดขึ้นมาพักใหญ่แล้ว จากการที่พื้นที่ขนาดใหญ่ของโลกหลายแห่งต้องเผชิญกับสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างเลวร้าย เช่น ลาตินอเมริกา ทวีปแอฟริกา และในเอเชีย ผู้คนต้องย้ายถิ่นฐานเพื่อความอยู่รอด เพราะพื้นที่ที่เคยอาศัยโดนภัยพิบัติ แห้งแล้งเกินไปหรือเสื่อมโทรม โดยคาดว่าในอีก 50 ปีข้างหน้าจะมีประชากรอีกจำนวนมากที่ต้องอพยพออกจากที่ดินทำกินเดิมเพื่อหาบ้านใหม่

แม้ช่วงการระบาดของโควิด-19 จะทำให้ปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลกลดลงต่ำกว่า 49.5 กิกะตัน (Gt) ในปี 2020 ได้แล้วก็ตาม แต่เมื่อโลกฟื้นตัว มนุษย์กลับสู่วิถีชีวิตแบบเดิม หลายประเทศกลับอนุมัติโครงการน้ำมันและก๊าซเพิ่ม ทั้งยังให้เงินอุดหนุนมหาศาลแก่ภาคอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงฟอสซิลต่อไป ทำให้คาดการณ์ได้ว่า อัตราการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจะเพิ่มขึ้นในปี 2030 อย่างแน่นอน และคำมั่นสัญญาของประเทศผู้นำในการประชุมสุดยอดด้านสภาพอากาศ ก็ไม่เพียงพอที่จะทำให้อุณหภูมิเฉลี่ยทั่วโลกลดลงอยู่ในระดับที่ยั่งยืนได้จริง

แม้บางประเทศจะตื่นตัวและเปลี่ยนแปลงแบบก้าวกระโดดแล้ว โดยรณรงค์ใช้พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม รถยนต์ไฟฟ้า (EV) แทนการใช้น้ำมัน และรัฐบาลบางประเทศได้ยุติโรงไฟฟ้าถ่านหิน แล้วหันมาเริ่มใช้โรงไฟฟ้าพลังงานสะอาดแทน ตามปฏิญญาความร่วมมือยกเลิกการใช้พลังงานถ่านหินเป็นพลังงานสะอาด (Global Coal to Clean Power Transition Statement) จากการประชุม COP26 ในปี 2023

ส่วนในระดับบุคคล โดยเฉพาะการอยู่อาศัยในศตวรรษหน้า ก็มีแนวโน้มว่าจะต้องเปลี่ยนไปเพื่อรับมือกับสภาวการณ์ของโลกด้วย เช่น การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและวิถีการดำเนินชีวิตด้วยการใช้พลังงานทดแทนอย่างรถยนต์ EV ที่ขับเคลื่อนด้วยแบตเตอรี่พลังงานไฟฟ้า จนถึงการออกแบบบ้านหมุนเวียนพลังงานเพื่อความยั่งยืนสำหรับอนาคต


(Mischa Frank / Unsplash)

2. บ้านยั่งยืนแห่งอนาคตของคนรุ่นใหม่ เมื่อต้องอยู่กับโลกร้อน
บ้านยั่งยืนจะเปลี่ยนแปลงวิถีการใช้ชีวิตของผู้คน ห้องนั่งเล่นและบ้านที่เปิดโล่งรับลมกว้างขวางตามแบบดั้งเดิมอาจไม่พร้อมรับมือสภาพอากาศอันเลวร้ายอย่างฝุ่น PM2.5 อีกต่อไป ในบางประเทศจึงเริ่มบังคับให้มีการติดแผงผลิตพลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์บนหลังคาสำหรับอาคารที่สร้างใหม่ และมนุษย์อาจต้องเลือกที่จะใช้ชีวิตในแบบที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกับการใช้ทรัพยากรให้คุ้มค่า ซึ่งเทรนด์การออกแบบบ้านอย่างยั่งยืนในอนาคตจะมีองค์ประกอบใหม่ ๆ ที่จะกลายเป็นปัจจัยหลักดังนี้

  • การใช้พลังงานภายในบ้านให้มีประสิทธิภาพ (Energy-Efficient Building Materials) เช่น การออกแบบให้พร้อมใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์หมุนเวียนภายในได้ ส่วนประกอบสำคัญของบ้านที่ต้องเพิ่มไม่ใช่เฉลียงหรือหน้าต่าง แต่เป็นฉนวนเพื่อกันบ้านให้ปรับอุณหภูมิได้เหมาะสม และเปลี่ยนเครื่องใช้ไฟฟ้าเป็นอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกับแผงผลิตพลังงานหมุนเวียนของบ้านได้แทนการเสียบปลั๊กไฟธรรมดา
  • มีระบบหมุนเวียนน้ำ (Water Conservation) หลายพื้นที่ในต่างประเทศเริ่มประสบปัญหาเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศที่ส่งผลกระทบต่อแหล่งน้ำ บางพื้นที่แห้งแล้ง บางพื้นที่น้ำท่วมฉับพลัน และบางพื้นที่แหล่งน้ำธรรมชาติกลายเป็นจุดเสื่อมโทรมเกินกว่าจะใช้ประโยชน์ได้อีกต่อไป การออกแบบบ้านที่ยั่งยืนจึงเริ่มมีแนวคิดที่มุ่งเน้นไปยังมาตรการอนุรักษ์น้ำจากบ้านให้สามารถใช้ได้ประโยชน์สูงสุด เช่น ติดตั้งอุปกรณ์ประหยัดน้ำ ทำระบบกักเก็บน้ำฝน ไปจนถึงการมีระบบรีไซเคิลน้ำทิ้ง และจัดภูมิทัศน์บ้านใหม่ให้ทนต่อภาวะแห้งแล้ง
  • ใช้วัสดุยั่งยืน (Sustainable Materials) นักออกแบบหันมาเลือกใช้วัสดุที่หมุนเวียนได้ ทดแทนวัสดุธรรมชาติอย่างไม้ หรือเลือกใช้วัสดุที่หาได้จากแหล่งในท้องถิ่น ใช้วัสดุรีไซเคิล และลดการใช้วัสดุที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่กำจัดไม่ได้
  • ใส่เทคโนโลยีบ้านอัจฉริยะ (Smart Home Technology) บ้านในศตวรรษหน้าจะติดตั้งเทคโนโลยีควบคุมระบบและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ภายในบ้าน ควบคุมการปิด-เปิดการใช้งานได้จากระยะไกลด้วยสมาร์ตโฟนเพื่อประหยัดค่าสาธารณูปโภคเมื่อไม่ใช้งาน พร้อมให้บ้านเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากกว่าเดิม


(Freepik)

3. เทคโนโลยีใหม่ที่จะเป็นส่วนหนึ่งของบ้านยั่งยืน
ข่าวร้ายของเจนเบต้า คือการไม่มีสถานที่ใดบนโลกที่จะไม่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ ทุกพื้นที่จะต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่างไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อม และพลังงานจะกลายเป็นเรื่องสำคัญที่สุดของการอยู่อาศัย การรีโนเวตบ้านให้ประหยัดพลังงานก่อนติดตั้งระบบพลังงานหมุนเวียน จะช่วยประหยัดค่าไฟฟ้า ช่วยประหยัดพลังงาน และป้องกันไม่ให้บ้านมีความร้อนหรือกระทบกับอากาศเย็นมากเกินไป ทำให้บ้านยุคใหม่ต้องมีการประเมินการใช้พลังงานในบ้านและทำการติดตั้งฉนวนเพื่อป้องกันอากาศที่เหมาะสม โดยเทคโนโลยีสำคัญที่จะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของบ้านยั่งยืนในอนาคตตั้งแต่เริ่มก่อสร้าง ได้แก่

  • ระบบพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Energy Systems) เช่น มีการติดตั้งเครื่องทำน้ำอุ่นพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Water Heating) หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าใหม่ที่ชาร์จพลังงานได้จากระบบแบตเตอรี่แสงอาทิตย์ของบ้าน
  • ระบบพลังงานลม (Wind Energy Systems) หากพื้นที่ที่อาศัยอยู่ในตำแหน่งที่มีความเร็วลมเฉลี่ยเพียงพอจนหมุนกังหันลมได้ ก็สามารถเลือกใช้ระบบกังหันลมเพื่อกักเก็บพลังงานไว้ในแบตเตอรี่เป็นพลังงานสำรองในกรณีฉุกเฉินได้อีกทางหนึ่ง
  • ระบบพลังงานหมุนเวียนภายในบ้านที่เชื่อมต่อกับระบบไฟฟ้า (Smart Grid Technology) ภายในปี 2030 เทคโนโลยี Smart Grid จะแพร่หลายในประเทศที่พัฒนาแล้ว ซึ่งประโยชน์หลัก ๆ คือสามารถใช้งานไฟฟ้าได้ตามความต้องการภายในบ้าน หรือขายให้กับผู้รับซื้อ ในอนาคตโรงไฟฟ้าจะเชื่อมต่อกับบ้านผู้อยู่อาศัยและภาคธุรกิจได้แบบเรียลไทม์ สามารถสั่งการและควบคุมได้ด้วยระบบคอมพิวเตอร์ ให้ปรับตามระดับความต้องการใช้พลังงานโดยอาศัยเซ็นเซอร์ที่สามารถตรวจจับได้อย่างแม่นยำ ว่าเมื่อใดต้องการใช้ไฟฟ้า หรือเปลี่ยนไปสู่การผลิตได้โดยอัตโนมัติตามความต้องการใช้งานไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น/ลดลง ในสหรัฐอเมริกา เจ้าของบ้านสามารถขายพลังงานส่วนเกินที่ระบบพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลมผลิตได้กลับคืนสู่รัฐ และหากติดตั้งเครื่องใช้ฟ้าประหยัดพลังงานตามที่รัฐกำหนด ก็ยังได้รับเครดิตภาษีพลังงานคืนอีกด้วย

4. เอาชีวิตรอดในโลกที่ร้อนขึ้นเรื่อย ๆ
การรับมือกับความร้อนเมื่ออาศัยอยู่ในเมืองใหญ่ แน่นอนว่า ตอนนี้ทุกคนเลือกซ่อนตัวในห้องที่ติดตั้งแอร์คอนดิชันเนอร์เย็นเฉียบ อันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ กล่าวว่า รายงานฉบับใหม่เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศถือเป็น “คู่มือเอาชีวิตรอดของมนุษยชาติ” ได้ กล่าวโดยสรุปคือการใช้ประโยชน์จากพลังงานสะอาดและเทคโนโลยี พร้อมลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลอย่างเร่งด่วนเพื่อหลีกเลี่ยงภัยพิบัติทางสภาพอากาศที่กำลังเพิ่มขึ้น


(Freepik)

แต่มนุษย์ไม่อาจพึ่งพาเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว ไม่ว่าจะเป็นพลังงานหมุนเวียนหรือไม่ก็ตาม

ข้อสังเกตอย่างหนึ่งก็คือ แม้เทคโนโลยีสำหรับบ้านแห่งอนาคตจะมีความสำคัญ แต่ผู้คนจำนวนมากในโลกก็ยังเข้าไม่ถึงเทคโนโลยีประเภทนี้ได้ในอนาคตอันใกล้ ดังนั้นจึงยังต้องมีการใช้หลายแนวทางมาประยุกต์ช่วยแก้ปัญหา หรือการใช้วิธีอิงธรรมชาติเพื่อลดการใช้เครื่องปรับอากาศในการทำความเย็น อย่างการวางผังเมืองและออกแบบสถาปัตยกรรมที่ทำให้เมืองเย็นลง ตัวอย่างเช่น เมืองที่มีประชากรหนาแน่นอย่างนิวยอร์ก ริโอเดอจาเนโร และปุตราจายาในมาเลเซีย มีการเพิ่มหลังคาสีเขียว (Green Roofs) ให้อาคาร โดยหลังคาสีเขียวนี้สามารถช่วยลดอุณหภูมิพื้นผิวได้มากกว่าหลังคาเปล่าถึงประมาณ 1-2 องศาเซลเซียส และความหนาของพืชบนหลังคายังส่งผลโดยตรงต่ออุณหภูมิภายในอาคารเสมือนฉนวนธรรมชาติกันความร้อนจากรังสีอัลตราไวโอเลต

การทำให้พื้นที่ในเมืองเป็นสีเขียวอีกประการหนึ่ง คือการฟื้นฟูพื้นที่สีเขียวของสวนสาธารณะในเมือง โดยผลจากงานวิจัยปี 2020 พบว่า พื้นที่สีเขียวที่แม้จะมีขนาดค่อนข้างเล็กในเมืองเมลเบิร์น ออสเตรเลีย ก็ยังส่งผลให้พื้นที่อาคารโดยรอบเย็นลงได้ถึง 1 องศาเซลเซียสในช่วงที่อากาศร้อนจัดตอนกลางวัน ทั้งประโยชน์ของร่มเงาต้นไม้และปริมาณการคายน้ำของพืชในสวนสาธารณะก็ได้รับการพิสูจน์แล้วว่า ช่วยลดระดับความร้อนในเมืองได้จริง

แต่ก่อนที่ เจนเบต้าจะต้องหาทางรอดในโลกที่ร้อนขึ้น จุดเริ่มต้นคงต้องเริ่มจากวันนี้ที่ผู้คนทุกเจเนอเรชันในศตวรรษที่ 21 อย่างพวกเรา ต้องเร่งแก้ปัญหาด้วยการลดอุณหภูมิโลกให้ทัน เพื่อความหวังที่ลูกหลานและคนรุ่นต่อไป จะไม่ต้องอยู่กับสภาพอากาศเลวร้ายในโลกอีก 50 ปีข้างหน้า

ที่มา : บทความ “Global warming hits 1.5°C” จาก futuretimeline.net
บทความ “2030 Global warming continues to increase” จาก futuretimeline.net
บทความ “Gen AI: Time for an honest assessment” โดย Martin Harrysson 
บทความ “Residential Renewable Energy” จาก energy.gov
บทความ “Top 10 Sustainable Home Design Trends (2025)” โดย Saumya Verma 
บทความ "Home for One or Many?" โดย Anna Fleck 
บทความ "Where We’ll End Up Living as the Planet Burns" โดย Gaia Vince 
บทความ "UN climate report: Scientists release 'survival guide' to avert climate disaster" โดย Matt McGrath และ Georgina Rannard 

เรื่อง : ศิริกัญญา เลี้ยวรัศมี